1. เรียนรู้การเปิดบัญชีแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ การตั้งตำแหน่ง, การหยุดขาดทุน และการทำกำไร

"การตั้งตำแหน่ง" หมายถึงการเปิดตลาดหรือการเปิดสถานะ ซึ่งคือการซื้อสกุลเงินหนึ่งไปพร้อม ๆ กับการขายอีกสกุลเงินหนึ่ง หลังจากเปิดตลาด สกุลเงินที่ซื้อเรียกว่า "ตำแหน่งยาว" ในขณะที่สกุลเงินที่ขายเรียกว่า "ตำแหน่งสั้น" การเลือกระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมและจังหวะที่ถูกต้องในการตั้งตำแหน่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำกำไร หากจังหวะเข้าตลาดดี โอกาสในการทำกำไรก็สูง แต่ถ้าจังหวะเข้าตลาดไม่ดี จะเสี่ยงเสียหายสูง

"การหยุดขาดทุน" คือ เมื่อราคาของสกุลเงินที่ถืออยู่ลดลง (สกุลเงินที่ถือมีมูลค่าลดลง) จะต้องมีการจัดการความเสี่ยงโดยการปิดตำแหน่งเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนเกินกำลัง ตัวอย่างเช่น ขายดอลลาร์สหรัฐที่ราคา 110 แลกเปลี่ยนเป็นเยนญี่ปุ่น ถ้าหลังจากนั้น ราคาดอลลาร์เพิ่มขึ้นเป็น 115 และเห็นว่าขาดทุนแล้ว 5 เยน จึงต้องซื้อดอลลาร์คืนที่ราคา 115 และขายเยนเพื่อปิดตำแหน่งด้วยการขาดทุน 5 เยน มีบางครั้งนักเทรดไม่ยอมรับการขาดทุนและรอคอยในความหวังว่าราคาอาจจะพลิกกลับ หากอัตราแลกเปลี่ยนยังดิ่งลงไป อาจเกิดการขาดทุนอย่างหนัก

"การทำกำไร" มีจังหวะที่จับต้องได้ยาก หากเมื่อคุณตั้งตำแหน่งไว้แล้วและอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มไปในทิศทางที่ดี คุณสามารถปิดตำแหน่งเพื่อทำกำไรได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อดอลลาร์ที่ราคา 120 และขายเยน เมื่อคุณเห็นว่าดอลลาร์เพิ่มขึ้นเป็น 122 เยน คุณจะมีกำไร 2 เยน จากนั้นคุณก็จะขายดอลลาร์คืนและซื้อเยนคืนเพื่อปิดตำแหน่งดอลลาร์หรือซื้อเยนให้ตรงตามจำนวนที่ขายไป ก็สามารถทำกำไรได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับจังหวะนั้น หากปิดตำแหน่งเร็วเกินไปอาจทำให้กำไรน้อย หากปิดช้าอาจจะทำให้พลาดโอกาสหรือตลาดพลิกผัน

2. หลักการซื้อเมื่อราคาเพิ่มไม่ซื้อเมื่อราคาลด

การซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทำงานในหลักการเดียวกับการซื้อขายหุ้น คุณควรซื้อเมื่อราคาขึ้นและไม่ควรซื้อเมื่อราคาลง เพราะในขั้นตอนที่ราคาขึ้นจะมีเพียงจุดเดียวที่คุณอาจจะซื้อผิด นั่นคือ เมื่อราคาขึ้นถึงจุดสูงสุด นอกเหนือจากนั้น การซื้อที่จุดอื่น ๆ ล้วนเป็นการเลือกที่ถูกต้อง ในขณะที่ซื้อในขณะราคาลด มันมีเพียงจุดเดียวที่เป็นการเลือกที่ถูกต้อง คือเมื่อราคาลดลงถึงจุดต่ำสุด จุดอื่นในการซื้อถือว่าเป็นการเลือกที่ผิด การซื้อในขณะที่ราคาขึ้นจึงมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าการซื้อในขณะที่ราคาลดลง

3. หลักการเพิ่มการลงทุนแบบ "พีระมิด"

"การเพิ่มการลงทุนแบบพีระมิด" หมายถึง หลังจากที่คุณซื้อสกุลเงินหนึ่งครั้งแรก ถ้าคุณเห็นว่าราคาสกุลเงินนั้นสูงขึ้นและเชื่อว่าการลงทุนของคุณถูกต้อง ถ้าคุณต้องการเพิ่มการลงทุน ควรทำตามหลักว่า "จำนวนการเพิ่มในแต่ละครั้งจะต้องน้อยกว่าครั้งก่อน" ด้วยวิธีนี้ จำนวนการซื้อจะลดลงเรื่อย ๆ บริเวณนี้จะมีความเหมือนกับ "พีระมิด" โดยราคาที่สูงขึ้นแสดงว่ามีความน่าจะเป็นที่จะถึงจุดสูงสุดนั่นเอง

4. วิธีการซื้อเมื่อมีข่าวลือ และขายเมื่อมีข้อเท็จจริง

ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเช่นเดียวกับตลาดหุ้น มีข่าวซุบซิบและข่าวลือมากมาย บางข่าวเป็นจริงในภายหลัง ขณะที่อีกบางข่าวแทบจะไม่มีมูลความจริง หรือแม้แต่การตั้งใจของนักการตลาดเพื่อให้เกิดการหลอกลวง การกระทำของนักเทรดคือ เมื่อได้ยินข่าวดีควรซื้อทันที เมื่อข่าวถูกยืนยันก็สามารถทำกำไรได้ทันที ในทางกลับกันเมื่อได้ยินข่าวร้ายก็ควรขายทันที เมื่อข่าวถูกยืนยันควรซื้อคืน หากการทำธุรกรรมไม่รวดเร็วมีโอกาสที่จะขาดทุนหรือพลาดโอกาสในการทำกำไร

5. ไม่ควรเพิ่มการลงทุนในขณะที่ขาดทุน

หลังจากที่คุณได้ซื้อหรือขายการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เมื่อพบว่าตลาดพลิกผันไปในทางตรงกันข้าม มีบางคนอาจต้องการเพิ่มการลงทุน นี่อาจเป็นอันตราย ตัวอย่างเช่น เมื่อสกุลเงินหนึ่งมีราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนได้ซื้อในราคาที่สูงขึ้นและเมื่อราคาตลาดพลิกกลับและลดลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนได้เห็นการขาดทุนและอยากเพิ่มการลงทุนที่ราคาต่ำลงเพื่อหวังว่าจะดึงราคาต้นทุนให้ต่ำลงและหวังว่าจะปิดการลงทุนเมื่อราคากลับขึ้น หากราคาผู้ซื้อลดลงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าคุณจะเพิ่มการลงทุน ตรงนี้คุณอาจจะประสบกับการขาดทุนอย่างหนัก

6. ไม่เข้าร่วมกิจกรรมในตลาดที่ไม่ชัดเจน

เมื่อรู้สึกว่าทิศทางตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศไม่ชัดเจน และตัวเองขาดความมั่นใจ ควรหลีกเลี่ยงการทำธุรกรรม มิฉะนั้นอาจทำให้การตัดสินผิดพลาดได้ง่าย

7. อย่าตามหาราคาเป็นจุดที่ลงตัวโดยไม่พิจารณา

ในการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บางครั้งอาจมีการพยายามแข่งเพื่อให้ได้กำไรในระดับจุดที่กำหนด เช่น ต้องการทำกำไรให้ได้ 500 ดอลลาร์สหรัฐหรือ 1000 หยวน เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการปิดตำแหน่ง ซึ่งอาจมีราคาที่ดีที่สุดอยู่ แต่เพราะความตั้งใจที่เหลือรอให้ได้ราคานั้นอาจไม่ได้กำไร

8. การตั้งตำแหน่งเมื่อมีการเบรกจุดอ่อนในตลาด

"การเบรกจุด" หมายถึง ระยะเวลาที่ค่าของเงินตราเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่แคบ ตลาดอาจจะอยู่ในภาวะที่ผู้ซื้อและผู้ขายอยู่ในความสมดุล และเมื่อเวลาผ่านไป จะเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ การเบรกช่วงนี้จะกลายเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการตั้งตำแหน่ง หากการเบรกเกิดขึ้นเมื่ออยู่ในช่วงตลาดที่แคบจะมีโอกาสในการทำกำไรที่สูงขึ้น