สิ้นสุดโลกหรือไม่?

ทุกคนพูดกันว่าถึงคราวสิ้นสุดของโลก เขากลับรู้สึกดี เจมี่ ร็อดเจอร์ส (Jimmy Rogers)! “ฉันอ่านหนังสือที่คุณเขียน!” ชายสูงวัยที่สวมเสื้อแดงและหมวกหูฟังพูดว่า “เฮ้ ครับ นี่คือเจมี่ ร็อดเจอร์สใช่ไหม? หุ้น Chicago Merc ที่คุณซื้อทำกำไรไหม?” นักธุรกิจวัยกลางคนจากมิดเวสต์อเมริกา ถาม. “ผมควรไปซื้อที่ดินที่อาร์เจนตินาไหม?” “อืม แองโกลา? มันอยู่ในแอฟริกาถูกไหม? พวกเขาจะเอาหัวคุณไปทำเป็นของที่ระลึกหรือเปล่า?” เจ้าของฟาร์มจากเท็กซัสถาม.

การพบปะกับแฟนๆ

ที่โรงแรมเชอราตันใกล้กับพื้นที่ที่พูดภาษาฝรั่งเศส เจมี่ ร็อดเจอร์สมักจะพบเจอกับแฟนคลับของเขา ไม่ว่าจะเป็นการรอรถแท็กซี่ หรือเดินผ่านบาร์ในล็อบบี้ของโรงแรม ในส่วนจัดแสดงที่ชั้นสามเพื่อเซ็นชื่อหนังสือ ก็เช่นกัน ในช่วงเวลาไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะขึ้นเวทีพูดที่การประชุมการลงทุนในนิวออร์ลีนส์มีคนมาถามเขา การประชุมนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี และได้รับความนิยมจากนักลงทุน ที่รักในการลงทุนแบบย้อนยุคและผู้ที่มีความอยากรู้อยากเห็นที่นี่ ร็อดเจอร์สเหมือนกับดาราร็อกในยามที่เขาโน้มนำอารมณ์ของผู้ฟัง [จอร์จ เทเน็ต (George Tenet) อดีตผู้อำนวยการ CIA ก็ได้รับความสนใจในงานนี้เช่นกัน]. ร็อดเจอร์สสวมเสื้อเชิ้ตผ้าวูลสีฟ้า เสื้อเชิ้ตสีชมพู และผูกปกด้วยโบว์เนคที่มีชื่อเสียง มีรูปลักษณ์สดใส เขาทักทายแฟนคลับทุกคนอย่างสุภาพและเสนอคำแนะนำแบบทั่วไปที่ฟังได้.”

การพูดคุยเกี่ยวกับทองคำ

“เจมี่ คุณคิดยังไงกับทองคำ?” เขาตอบว่า “ถ้าคุณเปลี่ยนทองคำให้เป็นตะกั่ว เงินที่คุณจะได้มากกว่ามาก” (การเพิ่มขึ้นของราคาตะกั่วในปีที่แล้วเป็นสองเท่าของราคาทองคำ). สำหรับคำถามถึงความผันผวนในตลาดเมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาก็ได้ออกมาบอกว่าเขาเป็น “นักเทรดที่แย่ที่สุดในโลก” ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ต้องตอบคำถามนั้น แม้ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังรู้สึกเบื่อหน่ายกับคำถามเหล่านั้น แต่อิทธิพลที่มันมีต่อเขาอาจไม่มาก แต่ก็สามารถบอกได้. ไม่ใช่เพียงเพราะเขาไม่ชอบที่คนเรียกว่า “เจมี่”. ใช้คำที่ร็อดเจอร์สชอบ เขาเล่นบท “ผู้แปลกใน” ที่ให้เพื่อสนองต่อความสนใจของผู้คนมาอย่างยาวนาน และเขาก็เล่นบทนี้ได้อย่างไม่มีข้อสงสัย. แต่สิ่งนี้ก็ทำให้เขารู้สึกถูกรบกวน.

นักลงทุนที่มีความสามารถ

ในประวัติศาสตร์การลงทุนเต็มไปด้วยนักลงทุนนอกกรอบที่แตกต่างในการซื้อในราคาที่คนอื่นไม่เต็มใจ ซึ่งเหล่านี้เป็นผู้ที่เฉียบแหลมที่รู้ว่าทันทีที่มุมมองของพวกเขาได้รับการยอมรับจากสาธารณชน นั่นคือตอนที่โอกาสเกิดขึ้น. ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา เจมี่ ร็อดเจอร์สได้เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จและหลากหลายที่สุดในศาสตร์นี้. เขามาจากเมืองเล็ก ๆ และกลายเป็นอัจฉริยะของวอลล์สตรีท ในปี 1970 เขาได้ร่วมมือกับจอร์จ ซอรอส (George Soros) เพื่อก่อตั้งทีมลงทุนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในช่วง 10 ปีพวกเขามีผลกำไรเพิ่มขึ้น 4,200% ในขณะที่ผลตอบแทนจากดัชนี S&P 500 ในช่วงเวลาเดียวกันมีเพียง 47%. หลังจากนั้น เขาก็ได้กลายเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” ในคอลัมน์ “Roundtable” ของนิตยสาร Barron’s ซึ่งเชียร์ให้นักอ่านซื้อหุ้นหุ้นของบริษัทร่วมทำสวนยางในมาเลเซียหรือ “พริกไทยขาว” ขณะที่หุ้นที่โด่งดังก็คือ GE (General Electric) ที่มีอัตราส่วนราคา/กำไรสูงถึง 40 เท่า.

การเดินทางทั่วโลก

ต่อมาเขาได้กลายเป็น “Indiana Jones” ของวงการการเงิน ขี่มอเตอร์ไซค์ท่องไปทั่วโลก บางครั้งในสถานการณ์ที่อันตราย ในขณะเดียวกัน เขาได้ลงทุนในสถานที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดและทำกำไรที่ดี และเขายังเขียนหนังสือขายดีอีกเล่ม. หลังจากนั้น นักผจญภัยที่ช่ำชองนี้ก็ได้เดินทางไปทั่วโลกและพบกับประเทศที่เป็นประเทศที่สามมากขึ้น ทำให้เขาทำสถิติใน Guinness World Record ได้และค้นพบโอกาสการลงทุนที่ไม่น่าเป็นไปได้แต่ทำกำไรได้มากมายอีกครั้ง เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือขายดี.

มุมมองใหม่

แต่ตอนนี้สถานการณ์มีความแปลกประหลาดบางประการ ร็อดเจอร์สดูเหมือนจะพบหน้าที่ใหม่ที่ไม่สอดคล้องกับอดีตอันแปลกประหลาดของเขา เขาอายุ 62 ปี กำลังอยู่ในการแต่งงานครั้งที่สาม และเป็นการเป็นพ่อครั้งแรก. กรุณาอย่าโกรธถ้าจะพูดถึงเขาจากมุมมองทางจิตวิทยาของมวลชน. ตอนนี้ เขามักจะพูดถึงเรื่องเร่งด่วน ในบางระดับมันคือมุมมองที่เขาได้แสดงออกซ้ำ ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ตลาดหุ้นอเมริกามีแนวโน้มที่อ่อนแอ ขณะที่การซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์กำลังจะมีการขยายตัว และจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในศตวรรษนี้ พร้อมกับดอลลาร์ที่จะยังคงลดค่า. แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนจะไม่อยากคิดคนเดียวเกี่ยวกับเรื่องนี้.

แบ่งปันภูมิปัญญา

พูดง่าย ๆ เขาไม่ต้องการเป็นนักลงทุนย้อนยุค แต่ต้องการแนะนำผู้คน และแบ่งปันภูมิปัญญาการลงทุนของเขากับคนทั่วไป เขาต้องการให้คนอื่นมองเขาเป็นผู้พยากรณ์ ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ที่แปลกประหลาดและมองหากำไรธรรมดา แต่แน่นอนเขาก็ไม่ต้องการใช้ชื่อว่า “เจมี่”.

ความทุกข์ที่เล็ดลอด

เขาพูดในน้ำเสียงเกือบจะเหมือนเส้นทางความคิดว่า “ฉันรู้สึกหงุดหงิดมาก แต่นี่คือสาระสำคัญของตลาด นี่คือมนุษย์ นี่คือเรื่องราวของจักรพรรดิใหม่ที่ไม่มีเสื้อผู้ปกครอง เรื่องนี้มีมาหลายศตวรรษแล้ว หากทุกคนเชื่อในความเห็นใดความเห็นหนึ่งพวกเขาจะไม่ฟังคุณ เท่ากับไม่เข้าใจหรือยอมรับเลย เมื่อมวลชนถูกหลอกง่ายคุณยากที่จะโน้มน้าวพวกเขา ดังนั้นฉันจึงหงุดหงิดมาก และรู้สึกเสียใจ.” เขาหยุด ก่อนที่จะเปลี่ยนเรื่อง “แต่ฉันมีเวลาที่ดี และคนก็จะฟัง.”

โอกาสของร็อดเจอร์ส

ดูเหมือนว่าเวลาของร็อดเจอร์สจะมาถึงแล้ว แค่ดูที่ดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ของร็อดเจอร์ส (Rogers International Commodities Index) ก็เพียงพอ ตามข้อมูลจาก Barclay Trading Group ตั้งแต่ที่ร็อดเจอร์สเปิดตัวกองทุนฟิวเจอร์ส่วนตัวในวันที่ 1 สิงหาคม 1998 ที่ติดตามดัชนีที่เขาได้ทำไว้ ดัชนีนี้มีผลตอบแทนรวมสูงถึง 194% กลายเป็นดัชนีการลงทุนที่ดีที่สุดในโลกในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่เป็นดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ แต่เป็นดัชนีประเภทอื่น ๆ ด้วย. ผลตอบแทนการลงทุนกว่าสองเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นที่ราคาถูก 2000 ตั้งแต่ช่วงเดียวกัน. และดัชนีของ Lehman Brothers ที่มีการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว 3 เท่า. เมื่อเปรียบเทียบกับ Nasdaq แล้ว performance ของดัชนีร็อดเจอร์สสูงกว่าถึง 35 เท่า. ในความเป็นจริง หลังจากหักค่าใช้จ่าย ดัชนีกองทุนฟิวเจอร์ส่วนตัวนั้นมีผลตอบแทนที่153%. กองทุนแลกเปลี่ยนดัชนีที่เปิดตัวในปี 2001 เองก็เพิ่มขึ้นถึง 75%.

ความสำเร็จในอนาคต

แต่ร็อดเจอร์สนั้นบอกว่าเงินใหญ่รอ เขาจะเผยแพร่หนังสือเล่มที่สามในเดือนมกราคม 2005 หนังสือที่มีชื่อว่า “สินค้าโภคภัณฑ์ร้อน: วิธีการลงทุนเพื่อทำกำไรในตลาดดีที่สุดของโลก” หนังสือนี้มีเนื้อหาหลักในการลดความลึกลับเกี่ยวกับการลงทุนสินค้าโภคภัณฑ์และวิเคราะห์สถานะของอุปสงค์และอุปทานของวัตถุดิบอย่างเช่นตะกั่ว น้ำตาล แต่จุดที่น่าสนใจที่สุดมาจากแนวคิดหลัก: ค่าวัสดุพื้นฐานจะพุ่งสูงขึ้นภายใน 10 ปีข้างหน้า. ตอนนี้สภาวะตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ไม่ใช่ในตลาดหุ้นอเมริกาที่ผู้คนคุ้นเคย หากประวัติการพยากรณ์ในอดีตของเขาสามารถบอกอะไรได้ คุณตามที่จะต้องระวังไว้.

การก้าวกระโดดของ Quantum Fund

เจมี่ ร็อดเจอร์สมีรูปร่างดี มีใบหน้ากลมและดวงตาสีฟ้า เขาไปออกรายการทีวีบ่อย ๆ และพูดในที่สาธารณะเสมอ ทำให้เขาผูกโบว์เนค ในขณะที่ที่บ้านเขาชอบใส่กางเกงยีนส์และเสื้อเชิ้ตแบบเปิดคอ. ในการสนทนาโดยทั่วไป เขาจะเริ่มด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและแม่นยำ ก่อนที่จะมีความกระตือรือร้นมากขึ้นและสุดท้ายก็เป็นการสนทนาแบบมีชีวิตชีวา. การพูดของเขายังคงตามแนวเสียงที่ได้รับการสั่งสอนมาในทางใต้ ถึงแม้จะมีเสียงที่หนักแน่นบางครั้ง. ในการพูดคุยทั่วไปเขาชอบใช้อดีตและพูดว่า “ไร้สาระ” หรือ “พูดได้ง่าย” หล่อใจ. ร็อดเจอร์สเติบโตที่เดมอพอริส (Demopolis) ในรัฐอัลลาบามา ที่เขาเป็นลูกชายคนโตภายในพี่น้อง 5 คน เดมอพอริสเป็นเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างการบรรจบของแม่น้ำทอมบิ๊กบี (Tombigbee River) และแม่น้ำแบล็ควอริเออร์ (Black Warrior River) ประชากรประมาณ 7,000 คน ก่อตั้งในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยกลุ่มผู้ลี้ภัยชาวฝรั่งเศส.

มรดกของความพยายาม

พ่อของเขาเป็นทหารผ่านศึกที่เคยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สอง ดำเนินการโรงงานเคมีในระหว่างวัน และในตอนกลางคืนเป็นนักบัญชี สร้างแบบอย่างการทำงานหนักสำหรับลูกชายของเขา. เมื่อร็อดเจอร์สอายุ 5 ปี เขาได้งานแรกคือการเก็บขวดที่สนามเด็กเล่นในท้องถิ่น. ไม่นานหลังจากนั้น เขาเริ่มทำธุจกิจกับพี่น้องของเขา โดยการขายถั่วคั่วและน้ำอัดลมในคืนวันศุกร์เมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลในโรงเรียนมัธยมท้องถิ่น. แม็บรี (Mabry) น้องชายของเขา ซึ่งตอนนี้เป็นหุ้นส่วนที่ประสบความสำเร็จในสำนักงานกฎหมายในเบอร์มิงแฮม กล่าวว่า ร็อดเจอร์สมีความมุ่งมั่นและมีความทะเยอทะยานตั้งแต่เด็ก. แม็บรีกล่าวว่า “เขามักพูดว่าจะเป็นเศรษฐีเมื่ออายุ 40 ปี เผื่อว่าเขาจะเดินทางไปถึงเป้าหมาย แต่ไม่มีใครเคยพูดเกี่ยวกับวิธีการที่เขาจะทำได้ และพวกเราก็ไม่มีใครเคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้น.”